ศูนย์ศึกษาโรคมะเร็งจอห์น ฮ็อบกิ้นส์ พบแล้วว่า สาเหตุที่ร่างกายของได้รับสารก่อมะเร็งนั้นสามารถเกิดจาก
1. การดื่มน้ำ ขวด พลาสติกที่แช่ในช่องฟรีซในตู้เย็น
2. การใช้พลาสติกคลุมอาหารเพื่ออุ่นในเตาไมโครเวฟ
3. รวมถึงการใช้ ถุงพลาสติคใส่อาหารเพื่ออุ่นกับเตาไมโครเวฟ
4. การใช้ วัสดุ โฟมใส่อาหารที่ร้อนและมัน
เนื่อง จากสารพิษจากพลาสติกสามารถละลายออกแล้วไหลปนเปื้อนกับอาหารที่เรารับประทาน ได้ โดยตรง ทำให้เกิดโรคมะเร็งทรวงอก มะเร็งในกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552
สาเหตุที่ร่างกายของได้รับสารก่อมะเร็ง
20 เรื่องเหลือเชื่อทางวิทยาศาสตร์
2. The Great Barrier Reef (แนวปะการังที่ยาวทีสุดในโลกบริเวณออสเตรเลีย) เป็นโครงสร้างสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีความยา วกว่า 2000 กิโลเมตร
3. โอกาสที่โลกจะถูกโจมตีด้วยอุกาบาตขนาดใหญ่ อยู่ที่ 9300 ปีต่อครั้ง
4. ดาวนิวตรอนขนาดเท่าหัวแม่มือมีน้ำหนักกว่า 100 ล้านตัน
5. พายุเฮอริเคนหนึ่งลูกผลิตพลังงานเท่ากับระเบิดขนาด 1 เมกะตันจำนวน 8000 ลูก
6. คาดว่ามีพยาธิปากขอ ซึ่งดูดเลือดเป็นอาหารอยู่ในร่างกายมนุษย์โลกเรา 700 ล้านคน
7. Fred Rompelberg คือผู้ขี่จักรยานด้วยความเร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็ ว 166.94 ไมล์ต่อชั่วโมง
8. มนุษย์เราสามารถคิดค้นแสงเลเซอร์ที่มีความสว่างกว่าแ สงอาทิตย์ 1 ล้านเท่า
9. 65% ของผู้ป่วยออทิสติคส์ เป็นคนถนัดซ้าย
10. Finnish pine tree (ต้นสนชนิดหนึ่งในฟินแลนด์) มีความยาวของรากแต่ละต้นรวมแล้วกว่า 30 ไมล์
11. จำนวนเกลือที่อยู่ในน้ำทะเลทั่วโลกเรา สามารถปกคลุมพื้นผิวทวีปทั่วโลกได้หนากว่า 500 ฟุต
12. กลุ่มแก๊สระหว่างหมู่ดาวในราศีธนู มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์นับหมื่นล้านล้านลิตร
13. หมีขั้วโลกสามารถวิ่งด้วยความเร็ว 25 ไมล์ต่อชัวโมง และกระโดดได้สูงกว่า 6 ฟุต
14. มนุษย์และปลาโลมาสืบสายพันธ์เดียวกันมาตั้งแต่ 60 - 65 ล้านปีก่อน
15. กล้อง infared จับภาพหมีขั้วโลกได้ยากมาก เนื่องจากคุณสมบัติของขนของมัน
16. เฉลี่ยแล้วในหนึ่งปี คนเราจะกินสัตว์จำพวกเห็บลิ้นไร โดยไม่ได้ตั้งใจไป 430 ตัวต่อคนต่อปี
17. รากของต้น Rye(ข้าวชนิดหนึ่งใช้หมักสุรา) สามารถแผ่ขยายไปได้ถึง 400 ไมล์
18. อุณหภูมิบนพื้นผิวของดาวพุธสูงกว่า 430 องศาเซลเซียสในเวลากลางวัน แต่ลดลงต่ำกว่า ติดลบ 180 องศาเซลเซียสในเวลากลางคืน
19. ภายใน 24 ชั่วโมง ต้นโอ๊กขนาดใหญ่ขับน้ำ(ในรูปของไอน้ำ)ออกมา 10 - 25 แกลลอน
20. ผีเสื้อรับรู้รสด้วยขาหลังของมัน โดยประสาทการรับรู้ทำงานโดยการสัมผัส ทำให้มันรู้ว่าใบไม้และดอกไม้ที่มันสัมผัส มีรสชาติอย่างไรและกินได้หรือไม่
10 ประการ เพื่อเร่งการเผาผลาญอาหาร
1. พยายามสร้างมวลกล้ามเนื้อ
ดังเช่นที่กล่าวไว้แล้วเมื่อตอนต้น ว่าระบบการเผาผลาญจะทำงานช้าลงเมื่อเราอายุมากขึ้น ประมาณว่ามันจะทำงานช้าลงปีละ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีบางสิ่งที่คุณทำได้เพื่อต่อสู้กับธรรมชาติ ชารี ลีเบอร์แมน ผู้เขียนหนังสือชื่อ Dare to Lose ให้ความเห็นว่า ”กล้ามเนื้อนี่แหละคือตัวบ่งชี้ที่ดีที่สุดถึงระบบเผาผลาญพลังงานจากอาหาร ที่คุณกินเข้าไป ชี้ให้เห็นด้วยว่าคุณเผาแคลอรี่และเผาไขมันไปได้มากน้อยแค่ไหน” เธอยังแนะนำด้วยว่าถ้าคุณต้องการจะเร่งกระบวนการเผาผลาญให้ทำงานดีขึ้น อย่างน้อยก็ควรจะยกดัมบ์เบลหรือดึงแถบยางต้านแรงอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้ง เพียงเท่านี้มันก็ช่วยได้มากเลยในการเร่งกระบวนการเผาผลาญ และข่าวดีก็คือระบบเผาผลาญของคุณที่ดีขึ้นนี้ จะยังคงทำงานหนักไปได้อีกหลายชั่วโมงทีเดียว ภายหลังจากออกกำลังมาแล้ว
2. เคลื่อนไหวอยู่เสมอ
ถ้าบอกว่าต้องเคลื่อนไหวอยู่เสมอ ใครๆก็รู้ แต่ก็ต้องย้ำกันไว้สักหน่อยล่ะว่าคุณควรจะเคลื่อนไหวแบบไม่ธรรมดา ด้วยการหาเวลาให้ได้สัก 30 นาทีหรือ 1 ชั่วโมง เพื่อมาเดินเร็วๆ, วิ่งจ็อกกิ้ง, ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำหรือออกกำลังกายแบบแอโรบิกบางอย่าง ให้ได้ความถี่อาทิตย์ละ 3 ถึง 4 ครั้ง เรื่องนี้ลีเบอร์แมนคนเดิมบอกว่า ”ใครๆต่างก็ไม่ชอบทำแบบนี้ทั้งนั้นแหละ แต่มันก็จำเป็นต้องทำค่ะ”
3. กินเป็นปกติ อย่าได้อดอาหารเป็นอันขาด
ลดน้ำหนักได้แต่อย่าอดอาหาร ฟังดูอาจจะเพี้ยน ๆ หน่อยสำหรับใครก็ตามที่พยายามลดน้ำหนักด้วยการกินให้น้อยๆเข้าไว้ แต่ความคิดแบบเก่า ๆ นี้กลับเป็นปัญหา ตรงที่ว่ามันกลับไปทำให้กระบวนการเผาผลาญทำงานได้ช้าลง ตามคำอธิบายของจูลี เบเยอร์ นักโภชนาการจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนซึ่งกล่าวว่า”ทุกๆเซลในร่างกายเราก็ไม่ ต่างอะไรจากหลอดไฟ เมื่อเรากินอาหารไม่เพียงพอ หรือเปรียบกับได้รับเชื้อเพลิงน้อย เซลหรือไส้หลอดก็จะไม่เผาไหม้สว่างไสว ผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์เมื่อไม่นานมานี้แสดงให้เห็นว่า การรับประทานอาหารมื้อเล็กๆห่างกัน สามถึงสี่ชั่วโมงต่อมื้อ ก็จะช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดี และช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ด้วย
4. ละเว้นน้ำตาล
แน่ล่ะ แม้จะไม่มีน้ำตาล คุณก็ยังเลือกกินอาหารอร่อยๆได้ “เพราะเมื่อใดที่คุณกินน้ำตาลเข้าไป นั่นคือระบบการเผาผลาญจะถูกเปลี่ยนไปเป็นระบบเก็บกักไขมันอย่างรวดเร็ว” ตามที่ลีเบอร์แมนพูด ในเมื่อเธอเป็นตัวตั้งตัวตีในเรื่องการบริโภคอาหารน้ำตาลต่ำ ด้วยหลักความคิดว่าอาหารที่เรารับประทานเข้าไปตามปกตินี้ แม้ไม่มีน้ำตาล มันก็แตกตัวออกเพื่อช่วยรักษาระดับนำตาลในเลือดอยู่แล้ว
5. ไม่อดอาหารเช้า
เป็นความจริงที่ไม่ค่อยจะมีใครคำนึงถึงเท่าไหร่เลยว่า คนที่กินอาหารเช้าที่ถูกสุขลักษณะเป็นประจำมักจะสะโอดสะองกว่าพวกที่ไม่กิน ลองคิดแบบนอกกะลากันดูหน่อยเป็นไร ถ้าหากคุณจะกินอาหารเช้าที่เป็นสลัดผักหรือว่าข้าวซ้อมมือ อาหารแบบนี้แหละที่จะช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญได้ดีนัก ทั้งยังมีเส้นใยอาหารมากกว่าอาหารประเภทอื่นด้วย
6. กินเผ็ดเข้าไว้
คงไม่ต้องถึงกับควันออกหู แต่ถ้าคุณชอบอาหารไทยอยู่แล้วก็ย่อมถือว่าเดินมาถูกทาง แม้แต่ลีเบอร์แมนเองก็ยังพูดเลยว่า”อาหารเผ็ดๆนี่แหละ ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญดีนัก” ไม่เชื่อก็ลองสังเกตดูเถอะว่าใครบ้างในวงข้าวของคุณ ที่กินเผ็ดแล้วเหงื่อแตกพลั่กๆ นั่นแหละกระบวนการเผาผลาญของเขากำลังทำงานอย่างหนักอยู่
7. ดื่มชาเขียว
มิแชลล์ สเตรฟ ผู้ฝึกซ้อมกีฬาจากเนบราสกาให้ความเห็นว่า”มีวิธีค่อนข้างทำลายสุขภาพตั้ง หลายอย่างที่จะช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญ อย่างการดื่มกาแฟแก่ๆสักแก้ว หรือการรับนิโคตินเข้าร่างกาย แต่ดิฉันไม่ได้บอกว่าคุณต้องสูบบุหรี่นะ” แต่ลีเบอร์แมนเองก็ให้คำแนะนำที่น่าสนใจในเรื่องนี้เช่นกันว่า แทนที่จะดื่มเครื่องดื่มผสมคาเฟอีนมากๆแล้วต้องพบกับผลข้างเคียงค่อนข้าง อันตราย ก็น่าจะใช้ชาเขียวร้อนแทน ซึ่งชาเขียวที่ว่านี้จะกระตุ้นระบบเผาผลาญได้นานกว่าและมีประสิทธิภาพ มากกว่ากาแฟเสียอีก
8. อย่าลืมดื่มน้ำ
อย่าได้ละเลยการดื่มน้ำเป็นอันขาด การดื่มน้ำอยู่เป็นประจำนี้สำคัญมากกับการขับของเสียออกจากร่างกายในระหว่าง การเผาผลาญไขมัน แม้น้ำเย็นก็ยังช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญได้เล็กน้อย เนื่องจากร่างกายจะใช้ความร้อนมาเพื่อทำให้อบอุ่นขึ้น แล้วมันจะมาจากไหนล่ะถ้าไม่ใช่ระบบการเผาผลาญแล้วได้ความร้อนเป็นผลพลอยได้
9. หลีกเลี่ยงความเครียด
จงอยู่ให้ห่างความเครียดให้มากที่สุด ตามที่ลีเบอร์แมนพูดคือ”เพราะความเครียดสามารถเพิ่มน้ำหนักให้คุณได้ โดยเฉพาะไขมันตรงหน้าท้อง” ทำไมคุณลีเบอร์แมนถึงพูดเช่นนั้น ก็เพราะทั้งความเครียดทางกายและจิตใจมันจะไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารคอร์ ติโซลออกมาน่ะสิ และเพราะเจ้าคอร์ติโซลนี่มันมีอำนาจชลอกระบวนการเผาผลาญให้ช้าลงด้วย เราจึงควรทำทุกอย่างเพื่อให้ไม่เครียดหรือเครียดน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
10. นอนหลับมาก ๆ
นักวิทยาศาสตร์ได้ทำวิจัยมาแล้วหลายครั้งในหมู่ผู้นอนหลับ พบว่าใครก็ตามที่นอนน้อยกว่าวันละเจ็ดหรือแปดชั่วโมงจะมีโอกาสน้ำหนักขึ้น ได้มาก ยิ่งกว่านั้นเราก็รู้ด้วยว่ากล้ามเนื้อจะถูกเสริมสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยในช่วง ชั่วโมงท้ายของการนอนก่อนจะตื่น ตามคำกล่าวอ้างของเบเยอร์ ถ้าจะทำตามข้อแนะนำข้อที่ 1 ไปพร้อมๆกับข้อนี้ด้วย ก็จะช่วยได้มากในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
ทั้งหมดนี้เราได้มาจากข้อความของคุณซูแซน วูดเวอร์ด ซึ่งปัจจุบันเธออาศัยอยู่ในเมืองโอลิมเปีย รัฐวอชิงตัน เป็นคอลัมนิสต์เกี่ยวกับสุขภาพและวัฒนธรรมในนิตยสารหลายเล่ม รวมทั้งอเมซอน โพรมิส องค์กรเพื่อสุขภาพไม่หวังผลกำไร และมีบทความลงในนิตยสารลอส แอนเจลิส ไทม์สด้วย
มหัศจรรย์ลุ่มน้ำโขง พบพันธุ์พืชและสัตว์ใหม่กว่า 1,000 สปีชีส์
เฟิร์ส คอนแทคต์ อิน เดอะ เกรทเตอร์ แม่โขง (First Contact in the Greater Mekong) เป็นรายงานฉบับพิเศษครั้งแรกในรอบ 10 ปี ที่รวบรวมชนิดพันธุ์พืช และสัตว์ที่ถูกค้นพบใหม่จำนวน 1,068 ชนิด ในแถบลุ่มน้ำโขง และยังไม่เคยมีการเผยแพร่อย่างเป็นทางการมาก่อน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ด้านความหลากหลายทางชีวภาพของลุ่มน้ำแห่งนี้
ทั้ง นี้ มีการค้นพบ สายพันธุ์ใหม่ถึง 2 ชนิดพันธุ์ใน 1 สัปดาห์ โดยสรุปชนิดพันธุ์พืชที่ถูกค้นพบได้ถึง 519 ชนิด ปลา 279 ชนิด กบ 88 ชนิด แมงมุม 88 ชนิด จิ้งจก 46 ชนิด งู 22 ชนิด สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 15 ชนิด เต่า 4 ชนิด นก 4 ชนิด ซาลาเมนเดอร์ 2 ชนิด คางคก 1 ชนิด และคาดว่าจะมีสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอีกนับพันชนิด ที่ถูกค้นพบ
“ไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่านี้อีกแล้ว เราคิดว่ามันสมควรที่จะต้องถูกบันทึกเป็นอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ทาง ธรรมชาติวิทยา และเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติของประเทศในแถบลุ่มโขง นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการอนุรักษ์ในระดับโลก” บทสรุปชัดเจนจาก สจ๊วต แชปแมน ผู้อำนวยการฝ่ายอนุรักษ์ของดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟ เกรทเตอร์ แม่โขง (WWF Greater Mekong)
การค้นพบชนิดพันธุ์ใหม่เหล่านี้ ไม่แตกต่างไปจากการค้นพบแผ่นดินใหม่บนโลกใบนี้ ตัวอย่างเช่น หนูคะยุ (Laotian rock rat) ซึ่งเป็นหนูชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่บนเขาหินปูน ที่เราคิดว่าสูญพันธุ์ไปเมื่อ 11 ล้านปีที่แล้ว แต่นักวิทยาศาสตร์กลับพบโดยบังเอิญในตลาดสดเล็กๆ แห่งหนึ่งในประเทศลาว หรือการเจองูเขียวหางใหม้ท้องเขียวใต้ (Siamese Peninsula pitviper) ที่กำลังเลื้อยผ่านนักท่องเที่ยวในร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อุทยานแห่งชาติเขา ใหญ่ ในประเทศไทย
นอกจากนั้นยังพบแมงมุมขายาว (Huntsman spider) ซึ่งเป็นแมงมุมขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยขาแต่ละข้างยาวถึง 30 ซ.ม. ลองคิดดูถ้า ขาทั้ง 8 ของแมงมุมชนิดนี้กางออกพร้อมกัน ขนาดของมันจะใหญ่เพียงใด หรือกิ้งกือมังกรสีชมพู (Dragon millipede) ที่มีลำตัวสีชมพูจัดจ้านแต่แฝงไปด้วยพิษของไซยาไนด์ที่มันสร้างขึ้นมาเพื่อ ป้องกันตัวเอง
“นี่คือการยืนยันความมหัศจรรย์ในความหลากหลายทางชีวภาพ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นเสมือนชุมทางหรือจุดเชื่อมต่อของ ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทย คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่มีความสำคัญต่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ เพราะชนิดพันธุ์ต่างๆ ในถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ มีการกระจายมาจากเทือกเขาหิมาลัย แม่น้ำโขง ทะเลอันดามัน และระบบนิเวศอื่นๆ อีกมากมาย” ดร.วิลเลี่ยม เชดล่า ผู้อำนวยการ WWF ประเทศไทย ย้ำบันทึกหน้าสำคัญที่จะกลายเป็นประวัติธรรมชาติวิทยาของโลก
“มีการรับรู้และเข้าใจที่ผิดๆ ที่ว่าภูมิภาคนี้ ไม่มีความสำคัญด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ทรัพยากรจึงถูกคุกคามบนความไม่รู้มาก่อน แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์แล้ว เกือบทุกครั้งที่ออกไปสำรวจมักจะพบกับความหลากหลายของชนิดพันธุ์ใหม่ๆ แต่โชคร้ายว่า การสำรวจจะต้องแข่งขันกับการคุกคามที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว” ราอูล เบน ผู้เชี่ยวชาญด้านความหลากหลายทางชีวภาพ จากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งอเมริกา แสดงความเห็นที่ต้องขบคิด
วันนี้ สายน้ำและผืนป่าที่โอบอุ้มความร่ำรวยของความหลากหลายทางชีวภาพอันล้ำค่า กำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตท่ามกลางความกดดันและแรงบีบคั้นจากการพัฒนาทาง เศรษฐกิจที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการที่จะปกป้องรักษาสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการสร้างความมั่นคง ในการดำรงอยู่ของมนุษย์โดยการลดปัญหาความยากจน และการสร้างความเชื่อมั่นที่จะเป็นหลักประกันในการดำรงอยู่ของชนิดพันธุ์และ ถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์ในแถบประเทศลุ่มน้ำโขง
ขณะ นี้องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล หรือ WWF ได้ประสานงานกับรัฐบาล และภาคอุตสาหกรรมของประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ทั้ง 6 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา พม่า และจีน (ตอนใต้) ในการวางแผนการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรที่ยั่งยืน ครอบคลุมพื้นที่ที่ต่อเนื่องกันกว่า 600,000 ตารางกิโลเมตร เพื่อดำเนินการอนุรักษ์ผืนป่า และแหล่งน้ำจืด อันเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติที่มีความโดดเด่น แต่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น ข้อตกลงร่วมกันระหว่าง 6 ประเทศ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและเร่งด่วนอย่างยิ่ง
“ไม่มีใครรู้ว่าจะมีการค้นพบชนิดพันธุ์อะไรอีกในดินแดนแถบนี้ แต่ที่แน่ๆ ทุกคนรับรู้ว่า ยังมีสัตว์และพืชอีกมากมายที่ยังรอการถูกค้นพบ โลกวิทยาศาสตร์ของเราเพิ่งจะเริ่มทำความรู้จักกับสิ่งที่ผู้คนในภูมิภาคแห่ง นี้คุ้นเคยมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ”สจ๊วต กล่าวทิ้งท้าย
ผลไม้ 7 อย่างที่ผู้หญิงไม่ควรพลาด
เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของคุณสาวๆ เราขอแนะนำผักผลไม้ 7 ชนิด สำหรับคุณผู้หญิง ที่ใส่ใจในตัวเองตั้งแต่ หัวจรวดปลายเท้า ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีสารที่เป็นประโยชน์แก่หญิงทุกวัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม และยังช่วยชะลอความชราได้อีกด้วย ดังนี้
1.ลูกพรุน (Prunes) ลูกพรุนเป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ที่สำคัญพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด พรุนเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78 มิลลิกรัมและมีวิตามิน ซี ซึ่งช่วยในการดูดซึมธาตุต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากคุณผู้หญิงอยากมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ริมฝีปากแดงสดเหมือนสตรอเบอรี่ แก้มแดงใสเหมือนลูกเชอรี่โดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอางดูเป็นคนที่มีสุขภาพดี สมบูรณ์ด้วยเลือดฝาด
2.ถั่ว ผู้หญิงทุกคนอยากมีหุ่นสวยเพรียว ไม่มีไขมันส่วนเกินสะสมาถั่วช่วยคุณได้ำถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบี นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่าเมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิด ที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งถั่วมีอยู่แล้วมากมาย) ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่ม-นานความอยากอาหารจะลด ลง
3.บรอคโคลี่ เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณสุภาพสตรีทั้งหลายเพราะบรอ คโคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติซึ่งเจ้าตัวซีลีเนียมนี้แหละ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ( ซีลี-เนียมจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนังจึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่ม นิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว ) แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย
4. กล้วยไข่ กล้วยทุกชนิดดีต่อสุขภาพแต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษในเรื่องของสารต้านอนุมูล อิสระที่เรารู้จักกันดีคือเบต้าแคโรทีนโดยธรรมชาติ เมื่อเราอายุพ้นยี่สิบสองไปแล้วความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมในส่วนต่างๆของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนอย่างช้าๆ ขณะนั้นเองมีสองสิ่งที่สำคัญเกิดขี้นในร่างกายของเรา ซึ่งก็คือ สิ่งแรก เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์จะผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้นสิ่งที่สองความสามารถในการ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายจะลดลงเรื่อยๆพร้อมกันนั้นความสามารถในการ จำกัดอนุมูลอิสระ (Detoxification) ก็ลดลงอย่างน่าตกใจเช่นกันดังนั้น กลยุทธ์ที่คุณจะสู้กับความแก่ด้วยตนเองก็คือคุณต้องรับประทานอาหารที่มี ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระให้มากซึ่งสารนี้เรารู้จักในชื่อที่ เรียกว่า แอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidants) ซึ่งในกล้วยไข่ 1 ขีด มีสารเบต้าแคโรทีนถึง 492 มิลลิกรัม
5.ฝรั่ง ฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซีมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึง ไม่แก่ก่อนวัยวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัวสารต้านอนุมูลอิสระนี้เองที่ทำให้ คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพผิวหนังแห้งเหี่ยว เกิดริ้วรอยตีนกาวิตามินซี มีความสำคัญต่อการสร้าง และบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective Tissue) เซลล์นับล้านๆตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ด้วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนมันคือคอลลาเจนตัวเดียวกันกับคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของ คุณผู้หญิงทั้งหลายเต่งตึงนั่นเอง และเพราะฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินซีนั่นเอง คุณๆทั้งหลายที่อยากคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้แก่ผิวสวยไว้นานๆน่าจะลองหัน มารับประทานฝรั่งเป็นประจำ
6.แอปเปิ้ล มีสารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ าเพคตินำ แต่ที่น่าสนใจสำคัญคุณผู้หญิงทั้งหลายคือ เจ้าตัว าเพคตินำ นี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดโคเลสเตอรอลหากคุณหิวจนตาลาย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารแอปเปิ้ลสักลูกจะช่วยลดความหิวได้เพราะแอปเปิ้ลมีแป้ง และน้ำตาลในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 % ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็วและนำไปใช้ประโยชน์ ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลงทำให้คุณไม่รู้สึกหงุดหงิด หรือ อ่อนเพลีย แอปเปิ้ล 2-3 ผลต่อวันช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้ เพราะแอปเปิ้ลมีเพคตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ผลจากการวิจัยชี้ว่าเมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมันและแยกโคเลส-เตอร อลออกมาเสร็จสิ้นแล้ว เพคตินจากแอปเปิ้ลจะไปคอยดักจับโคเลสเตอรอลเหล่านั้นและพาไปทิ้งก่อนที่จะ ถูกดูดกลับเข้าร่างกาย
7.ส้ม แหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรม-ชาติการรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธี หนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็วเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้ อย่างดีทีเดียวค่ะนอกจากนี้ หากรู้สึกหิวก่อนเวลา แทนที่จะนึกถึงเค้กก้อนโต หรือโดนัทชิ้นใหญ่ให้ลองหยิบส้มสักลูกเข้าปากแทนจะได้ประโยชน์มากกว่าในราคา ที่ถูกกว่าด้วย
ผักและผลไม้ทั้ง 7 ชนิดที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นสำหรับคุณๆผู้หญิงทุก ท่านที่ต้องการรักษาสุขภาพ นอกจากผักผลไม้ทั้งเจ็ดนี้แล้วผักและผลไม้อื่นๆ ก็มีคุณประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสถาบันโภชนาการแห่งชาติอเมริกาจึงได้ แนะนำขนาด-ในการรับประทานผักผลไม้ในแต่ละวันว่า ควรจะรับประทานรวมกันให้ได้วันละครึ่งกิโล หรือ 5 ขีดจะช่วยให้คุณๆทั้งหลายมีสุขภาพแข็งแรง แจ่มใส ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมารบกวน
รักษามะเร็งรังไข่ได้ด้วยขิง
พืชพื้นเมืองอย่างขิง มีฤทธิ์ฆ่าซลล์มะเร็งได้ เตรียมวิจัยทำยารักษามะเร็งรังไข่
นักสิทยาศาสตร์ชาวอมริกันชื่อว่า ขิงสามารถรักษามะเร็งรังไข่ได้
สมทบโดยนักวิจัยจากประเทศอังกฤษ
ซึ่งเชื่อว่าของอาจจะป็นรูปแบบของการรักษาแบบใหม่ในอนาคต หากได้รับการวิจัยอย่างจริงจัง
รีเบคก้า ลิว (Rebecca Liu) ผู้รายงานการวิจัยครั้งนี้
ได้นำเสนอรูปแบบของผลการทดลองโดยใช้ขิงผงสำเร็จรูปที่วางขายกันทั่วไป
ละลายในสารละลายทดสอบแล้วทดสอบกับซลล์มะเร็งรังไข่ พบว่า ฤทธิ์ของขิง ทำให้เซลล์มะเร็งรังไข่ตาย
และความเผ็ดร้อนของขิงยังช่วยไม่ให้เซลล์มะเร็งต่อต้านการรักษาอีกด้วย
การฆ่าเซลล์มะเร็งนั้น ทำได้ในสองรูปแบบ คือ วิธีการส่งสัญญาณทำให้เซลล์หันมาทำลายตัวเอง (Apoptosis) และ
วิธีการที่ทำให้เซลล์ทำลายตัวเอง (Autophagy) การรักษาด้วยเคมีบำบัด เป็นวิธีการรักษาแบบ Apoptosis
ส่วนการทำงานของขิงนั้น เป็นรูปแบบของ Autophagy ซึ่งเป็นแนวทางที่มีการคาดหมายว่า
จะลดอาการดื้อยาจากการทำเคมีบำบัดของเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย
ก่อนหน้านี้ทางศูนย์วิจัยโรคมะเร็งในอังกฤษก็เคยวิจัย พบว่า
สารสกัดจากขิงสามารถหยุดการจริญติบโตของเซลล์มะร็งได้
เจ้าหน้าที่ทางด้านข้อมูลวิทยาศาสตร์ เฮนรี่ สควอครอฟท์ (Henry Scowcroft) กล่าวยืนยันผลการทดลองครั้งนี้
แต่อย่างไรก็ตาม นักวิจัยทั้งสองท่านได้แสดงความห็นว่า งานวิจัยครั้งนี้เป็นไปเพียงเพื่อ
การทดสอบเบื้องต้น และเป็นจุดริ่มของการค้นพบประสิทธิภาพการทำงานของขิงเท่านั้น
ยังคงต้องมีการวิจัยอีกมาก ก่อนที่จะยืนยันผลการทดลอง และกว่าจะค้นพบสารออกฤทธิ์ในขิงเพื่อสกัดออกมาป็นยา
คงต้องผ่านกระบวนการวิจัยอีกหลายขั้นตอน
ในประเทศไทยเองก็มีการศึกษาวิจัยผลของขิงในการฆ่ามะเร็งเช่นกัน
โดยหวังว่าพืชพื้นเมืองอย่างขิงนั้นจะป็นความหวังใหม่ของการรักษามะเร็งรังไข่ในอนาคต
ปัจจุบัน ขิงได้รับการยอมรับว่าสามารถแก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน และสามารถป้องกันการเมารถ เมาเรือได้
มีการนำขิงมาบรรจุแคปซูลเพื่อวามสะดวกในการรับประทาน
และใช้กินเพื่อป้องกันการมารถ ยาจีนหลายขนานก็มีขิงเป็นส่วนประกอบ
และคนจีนก็ได้ใช้ประโยชน์จากขิงมานับพันปีแล้ว
การแข่งขันกันวิจัยสรรพคุณของพืชสมุนไพรเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ประเทศไทยขึ้นชื่อว่ามีสมุนไพรจำนวนมากและหลากหลาย
หากได้รับการวิจัยอย่างจริงจัง เพื่อหาทางสกัดยาจากสมุนไพรโดยผ่านกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ โอกาสการค้นพบทางออกจากโรคร้ายคงมาถึงในอีกไม่นาน
ลดน้ำหนัก เพิ่มความสูง
สิ่งที่มีผลต่อขนาดของร่างกาย มีอยู่ 3 อย่างด้วยกันคือ
ถ้า พ่อแม่สูง ลูกมักจะสูงด้วย แต่บางที ถ้าได้พันธุ์จากปู่ ย่า ตา ยาย ที่ไม่สูง ลูกอาจไม่สูงตามได้ค่ะ อาหารจึงมีความสำคัญมากที่สุด ที่คนเราจะสูงได้เต็มที่ ตามที่พันธุกรรมกำหนด แต่ถึงได้ทานอาหารดี แล้วกลับเจ็บป่วยบ่อย ระยะป่วยที่มีการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ทำให้อาหาร ไม่ได้ทำประโยชน์ ทางด้านการเจริญเติบโต แต่กลับต้องทำหน้าที่ ต่อสูกับโรคแทน การเจริญเติบโต จึงต้องหยุดหรือช้าลง ร่างกายจะสูงได้ ไม่เต็มที่
คนเราเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนอายุประมาณ 25 ปี
ถึง แม้จะเกิน 25 แล้ว ก็ยังจะสูงได้อีกนะคะ แต่น้อยมากค่ะ ในระยะวัยรุ่น ทั้งหญิงและชาย จะสูงเร็วมาก พ่อแม่จะซื้อเสื้อผ้าเผื่อโตให้ลูก เมื่อตอนโรงเรียนเปิด ลูกใส่ชุดนักเรียน ตัวใหญ่เกินตัวมาก แต่ยังไม่ทันสิ้นปี คับ จนแทบจะใส่ไม่ได้แล้วหล่ะค่ะ
วัยรุ่นต้องการอาหาร มากกว่าวัยอื่นใด ในชีวิต
แต่ นั่นเป็นเพราะ วัยรุ่นมักมีกิจกรรมมาก จนไม่ค่อยได้รับอาหารเพียงพอ ทำให้อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เป็นลมง่ายค่ะ อาการเป็นลม เป็นกลไกรักษาความปลอดภัย ของมนุษย์ตามธรรมชาตินะคะ ถ้าสมองขาดอาหาร จะสั่งหยุดการทำงาน เพื่อสงวนพลังงาน ถ้ามีเพื่อนนักเรียนคนหนึ่ง เป็นลมในขณะเข้าแถว ในวันที่มีอาจารย์อบรม ยาวเกินไป แสดงว่าเพื่อนนักเรียนคนนั้น อาจเป็นโรคขาดอาหาร หรือไม่ได้ทานอาหารเช้า หรืออดอาหารเอง เพราะกลัวอ้วน นั่นอาจทำให้เขาผอมได้ ดังปรารถนานะคะ แต่จะไม่มีแรงค่ะ ไม่มีประโยชน์เลย ในด้านกิจกรรม ความสนุกสนาน ในช่วงวัยรุ่น การลดน้ำหนักที่เหมาะกับวัยรุ่น และวัยหนุ่มสาว คือการออกกำลังกายค่ะ ทานเข้าไปเถอะค่ะ ให้เต็มที่ ตามที่ปากอยาก แต่เราสามารถทำให้ตัวเองไม่อ้วนได้ โดยใช้พลังงาน ให้มากขึ้นตามไงล่ะค่ะ
ทุกคนเกิดมา โดยมีพันธุกรรมกำหนดมาแล้ว ว่าจะสูงได้มากน้อยเพียงใด
การ รับประทานอาหาร ในแต่ละมื้อ แต่ละวันนั้น เป็นความสุขอย่างหนึ่งค่ะ ทุกคนหาความสุขนี้ ได้โดยง่าย ทานอาหารให้อร่อย ขณะเดียวกัน เลือกทาน สิ่งที่จะทำให้มีรูปร่างตามต้องการด้วย ถ้าอยากจะสูง อย่าอดอาหารค่ะ เพราะการอดอาหาร จะทำให้ร่างกาย หยุดการเจริญเติบโตนะคะ
การทำกิจกรรมต่างๆ ต้องใช้พลังงาน
แม้ เราจะไม่ได้ทำอะไรเลย ร่างกายก็ยังต้องการพลังงาน เพื่อดำรงชีวิตอยู่ได้ค่ะ การออกกำลังมาก ต้องใช้พลังงานมาก การเดิน ใช้พลังงานมากกว่าการนั่ง การวิ่ง ใช้พลังงานมากกว่าการเดิน ร่างกายต้องใช้อาหาร ให้เกิดพลังงานก่อน ถ้ารับประทานอาหาร ไม่เพียงพอ โปรตีนในอาหาร ก็จะไม่ได้สร้าง และซ่อมแซมเนื้อเยื่อค่ะ ต่อให้ทานโปรตีน และแคลเซียมมาก ก็ไม่ได้ทำให้โตขึ้นนะคะ เพราะเมื่อร่างกาย ใช้โปรตีนสร้างพลังงานหมดแล้ว แคลเซียมที่ได้รับ จะไม่มีประโยชน์ ร่างกายจะขับทิ้งไป เมื่อความต้องการ ด้านพลังงานเพียงพอแล้ว สารอาหาร จึงจะได้ทำหน้าที่สร้าง และซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ และสร้างสารต้านทานโรคค่ะ
วัยรุ่น ไม่ควรลดน้ำหนัก ด้วยการอดอาหาร
บาง คน อดอาหารด้วยการทานยา ที่ทำให้เบื่ออาหาร หรือเส้นใย ที่ทำให้พอง เต็มกระเพาะอาหาร ทำให้ทานอะไรไม่ลง นั่นทำให้ลดน้ำหนักได้จริงค่ะ แต่จะอ่อนเพลีย หมดความสนใจ ในสิ่งรอบๆ ตัว และหน้าตาซีดเซียว ไม่น่าดู ควรจะควบคุมน้ำหนัก ด้วยการเลือกชนิดอาหาร และการออกกำลังกาย ดีกว่านะคะ สิ่งที่จะทำให้สูง คือ โปรตีน แคลเซียม และวิตามินต่างๆ จึงควรดื่มนมมากๆ ค่ะ แต่ถ้าไม่อยากเพิ่มน้ำหนักจากนม ก็ให้เลือกดื่มนม ขาดมันเนยนะคะ
คนที่ดื่มนมไม่ได้
บาง คน ดื่มนมแล้ว มีอาการท้องเดิน ให้ทานผัก ที่มีสีเขียวมากๆ นะคะ ทานปลาทอดกรอบ เพื่อที่จะได้ทานก้างด้วย ผักคะน้า ยอดแค ใบชะพลู ผักบุ้ง ผักตำลึง ล้วนมีแคลเซียมทั้งนั้นค่ะ พวกยำใส่กุ้งแห้ง เมี่ยงคำ ผักจิ้มน้ำพริก ทำให้ได้ทานผัก กุ้งแห้ง กะปิ ซึ่งมีทั้งโปรตีน แคลเซียม และวิตามินต่างๆ อาหารพวกนี้ ไม่ใส่น้ำมัน รับประทานได้มาก โดยไม่ต้องกลัวอ้วน นอกจาก จะสร้างกระดูก เพิ่มความสูงแล้ว อาหารที่มีผักมาก ยังช่วยบำรุงผิว ให้สวยอีกด้วยค่ะ
ทานอาหารทะเล ผัก ผลไม้และนมแล้ว ยังน้ำหนักเกินมาตรฐาน
ต้องออก กำลังกายค่ะ ทำในสิ่งที่ชอบ อย่าฝืนใจ อาจเปิดเพลงเร็วๆ เต้น หรือ กระโดด เล่นเทนนิส แบดมินตัน ว่ายน้ำ ออกกำลังกายอย่างน้อย สัปดาห์ละ 4 วัน วันละอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ถ้าอายุยังไม่ถึง 18 อ้วนไปนิดอย่าตกใจค่ะ เมื่อสูงขึ้นแล้ว จะพอดี ไม่ผอมมากเกินไป
หมั่นชั่งน้ำหนักตัว ตรวจสอบความสูง ให้เหมาะสม กับน้ำหนัก
น้ำหนัก ตัว โดยมาตรฐานแล้ว ควรจะใกล้เคียง กับความสูง วัดเป็นเซนติเมตร ลบด้วย 100 ถ้าสูง 150 เซนติเมตร ควรจะน้ำหนักใกล้ๆ กับ 50 กิโลกรัม ไม่ควรผอมมาก เพราะจะทำให้ไม่มีอาหารในตัวพอ ที่จะยืดให้สูงได้ อย่าให้เกินนี้ เพราะมากเกินไปแล้ว ต่อไปจะลดได้ยากนะคะ แล้วก็อย่าลืม เรื่องการออกกำลังกาย การเดินเร็วๆ เป็นการออกกำลังกาย ที่ดีที่สุด สำหรับคนไม่ชอบ หรือไม่มีเวลา เล่นกีฬา ลดน้ำหนักได้ โดยไม่ต้องเสียเงิน รับรองว่าสูงได้แน่ค่ะ
ที่มา www.saranair.com/sections.php?op=viewarticle&artid=44
พระราชกฤษฎีกาที่สำคัญ
- พระราชกฤษฎีกาให้เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ......
- พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ......
- พระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. .......
- พระราชกฤษฎีกา เรียกประชุม/ปิดประชุม/ขยายเวลาประชุม สภาผู้แทนราษฎร
ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2
การตราพระราชกฤษฎีกา
การตราพระราชกฤษฎีกา รัฐมนตรีซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องจะอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ หรือพระราชกำหนดนั้นๆ เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาต่อคณะรัฐมนตรีให้พิจารณา โดยร่างพระราชกฤษฎีกานั้น จะต้องไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ หรือพระราชกำหนดที่เกี่ยวข้อง
เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว จะต้องนำร่างพระราชกฤษฎีกา ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระมหากษัตริย์เพื่อทรงตราพระราชกฤษฎีกานั้นๆ นายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จากนั้นจึงนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา บังคับใช้ต่อไป
พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คือบทกฎหมายที่ ใช้บังคับอยู่เป็นประจำตามปรกติ เพื่อวางระเบียบบังคับความประพฤติของบุคคลรวมทั้งองค์กรและเจ้าหน้าที่ของ รัฐ เป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่มีฐานะสูงกว่าบทกฎหมายอื่น ๆ นอกจากรัฐธรรมนูญ ก่อนประกาศใช้บังคับ
พระราชบัญญัติมีอยู่ชนิดเดียว แต่บัดนี้รัฐธรรมนูญฯ ได้บัญญัติให้มีพระราชบัญญัติขึ้นอีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า “พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ” ซึ่งรัฐธรรมนูญฯ บังคับให้ตราขึ้นเพื่อกำหนดสาระสำคัญในรายละเอียดในกรณีบางเรื่องที่รัฐ ธรรมนูญกำหนดหลักการไว้ เช่น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541
การตราพระราชบัญญัตินั้นจะทำได้ก็แต่โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา และเมื่อพระมหากษัตริย์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ก็มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายได้
ที่มา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พุทธศักราช ๒๕๔๐) ม. ๙๒, ๙๓ และ ๓๒๓
พระราชกฤษฎีกา
พระราชกรณียกิจด้านการแพทย์
นอก
สำหรับ
ที่มา : เครือข่ายกาญจนาภิเษก http://www.kanchanapisek.or.th
พระราชกรณียกิจด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ
โดย
- เวียดนาม
ใต้ ระหว่าง วัน ที่ ๑๘-๒๑ ธันวาคม ๒๕๐๒ ซึ่ง เป็น การ เสด็จ พระ ราชดำเนิน เยือน ต่างประเทศ ครั้งแรก ใน รัชกาล ปัจจุบัน - สาธารณรัฐ
อินโดนีเซีย ระหว่าง วัน ที่ ๘-๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๓ - สหภาพ
พม่า ระหว่าง วัน ที่ ๒-๕ มีนาคม ๒๕๐๓ - สหรัฐ
อเมริกา ระหว่าง วัน ที่ ๑๔ มิถุนายน - ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๐๓ - อังกฤษ ระหว่าง
วัน ที่ ๑๙-๒๓ กรกฎาคม ๒๕๐๓ - สหพันธ์
สาธารณรัฐ เยอรมัน ระหว่าง วันที่ ๒๕ กรกฎาคม - ๒ สิงหาคม ๒๕๐๓ - สาธารณรัฐ
โปรตุเกส ระหว่าง วันที่ ๒๒-๒๕ สิงหาคม ๒๕๐๓ - สวิตเซอร์แลนด์ ระหว่าง
วันที่ ๒ช-๓๑ สิงหาคม ๒๕๐๓ - เดนมาร์ก ระหว่าง
วันที่ ๖-๙ กันยายน ๒๕๐๓ - นอร์เวย์ ระหว่าง
วันที่ ๑๙-๒๑ กันยายน ๒๕๐๓ - สวีเดน ระหว่าง
วันที่ ๒๓-๒๕ กันยายน ๒๕๐๓ - สาธารณรัฐ
อิตาลี ระหว่าง วันที่ ๒๘ กันยายน - ๑ ตุลาคม ๒๕๐๓ - นครรัฐ
วาติกัน เมื่อ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๐๓ - เบลเยี่ยม ระหว่าง
วันที่ ๔-๗ ตุลาคม ๒๕๐๓ - สาธารณรัฐ
ฝรั่งเศส ระหว่าง วันที่ ๑๑-๑๔ ตุลาคม ๒๕๐๓ - ลักเซมเบอร์ก ระหว่าง
วันที่ ๑๗-๑๙ ตุลาคม ๒๕๐๓ - เนเธอร์แลนด์ ระหว่าง
วันที่ ๒๔-๒๗ ตุลาคม ๒๕๐๓ - สเปน ระหว่าง
วันที่ ๓-๘ พฤศจิกายน ๒๕๐๓ - สาธารณรัฐอิสลาม
ปากีสถาน ระหว่าง วันที่ ๑๑-๒๒ มีนาคม ๒๕๐๕ - สหพันธรัฐมลา
ยา ระหว่าง วันที่ ๒๐-๒๗ มิถุนายน ๒๕๐๕ - นิวซีแลนด์ ระหว่าง
วันที่ ๑๘-๒๖ สิงหาคม ๒๕๐๕ - ออสเตรเลีย ระหว่าง
วันที่ ๒๖ สิงหาคม - ๑๒ กันยายน ๒๕๐๕ - ญี่ปุ่น ระหว่าง
วันที่ ๒๗ พฤษภาคม - ๕ มิถุนายน ๒๕๐๖ - สาธารณรัฐ
จีน ระหว่าง วันที่ ๕-๘ มิถุนายน ๒๕๐๖ - สาธารณรัฐ
ฟิลิปปินส์ ระหว่าง วันที่ ๙-๑๔ กรกฎาคม ๒๕๐๖ - สาธารณรัฐ
ออสเตรีย ระหว่าง วันที่ ๒๙ กันยายน - ๕ ธันวาคม ๒๕๐๗ - สาธารณรัฐ
เยอรมัน ระหว่าง วันที่ ๒๒-๒๘ สิงหาคม ๒๕๐๙ ซึ่ง เป็น การ เสด็จ พระ ราชดำเนิน เยือน ครั้ง ที่ สอง - สาธารณรัฐ
ออสเตรีย ระหว่าง วันที่ ๒๙ กันยายน - ๒ ตุลาคม ๒๕๐๙ ซึ่ง เป็น การ เสด็จ พระ ราชดำเนิน เยือน ครั้ง ที่ สอง - อิหร่าน ระหว่าง
วันที่ ๒๓-๓๐ เมษายน ๒๕๑๐ - สหรัฐอเมริกา ระหว่าง
วันที่ ๖-๒๐ มิถุนายน ๒๕๑๐ ซึ่ง เป็น การ เสด็จ พระ ราชดำเนิน เยือน ครั้ง ที่ สอง - แคนาดา ระหว่าง
วันที่ ๒๑-๒๔ มิถุนายน ๒๕๑๐ - สาธารณรัฐ
ประชาธิปไตย ประชาชน ลาว ระหว่าง วันที่ ๘-๙ เมษายน ๒๕๓๗
เมื่อ
พระราชกรณียกิจด้านการศึกษา
H.M.K picture นอกเหนือไปจากนี้แล้ว ทรงมีพระราชดำริให้ดำเนินการจัดทำสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนขึ้น สารานุกรมชุดนี้ มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากสารานุกรมชุดอื่นๆ ที่ได้เคยจัดพิมพ์มาแล้ว กล่าวคือ เป็นสารานุกรมอเนกประสงค์ที่บรรจุเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นสาระไว้ครบทุกแขนงวิชา โดยจัดแบ่งเนื้อหาของแต่ละเรื่องออกเป็นสามระดับ เพื่อที่จะให้เยาวชนแต่ละรุ่น ตลอดจนผู้ใหญ่ที่มีความสนใจ สามารถที่จะศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ได้ตามความเหมาะสมของพื้นฐานความรู้ ของแต่ละคน โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิในแต่ละสาขาวิชา การอุทิศเวลาและความรู้ เพื่อสนองพระราชดำริ โดยร่วมกันเขียนเรื่องต่างๆ ขึ้น แบ่งออกเป็น 4 สาขาวิชา คือ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
ทรงก่อตั้งกองทุนนวฤกษ์ ในมูลนิธิช่วยนักเรียนที่ขาดแคลน ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อช่วยให้นักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ได้มีโอกาสเข้ารับการศึกษาในระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา ทั้งยังพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เป็นทุนริเริ่มในการก่อสร้างโรงเรียนตามวัดในชนบท สำหรับที่จะสงเคราะห์เด็กยากจนและกำพร้า ให้ได้มีสถานที่สำหรับศึกษาเล่าเรียน โดยอาราธนาพระภิกษุเป็นครูสอนในวิชาสามัญต่างๆ ที่ไม่ได้ขัดต่อพระธรรมวินัย ตลอดจนช่วยอบรมศีลธรรมแก่เด็กนักเรียน ทั้งนี้ เป็นพระราชประสงค์ที่จะให้เด็กนักเรียน ได้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับการศึกษาควบคู่กันไป อันจะทำให้เยาวชนของชาติ นอกจากจะมีความรู้ด้านวิชาการแล้ว ยังจะทำให้มีจิตใจที่ดี ที่ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม เพื่อที่จะได้เป็นพลเมืองดีของประเทศชาติต่อไป ในอนาคต
โรงเรียนร่มเกล้า ก็เป็นสถานศึกษาในระดับมัธยมศึกษา ในหลายจังหวัดที่เกิดขึ้นจากพระราชดำริ ที่จะให้ทหารออกไปปฏิบัติภารกิจในท้องที่ทุรกันดาร ได้ทำประโยชน์ต่อชุมชน และมีส่วนช่วยเหลือประชาชนในด้านการศึกษา ตามโอกาสอันควร โดยพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ให้ทหารจัดสร้างโรงเรียนขึ้นในจังหวัดนครพนม จังหวัดสกลนคร จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นต้น เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนสถานศึกษาสำหรับเยาวชน และยังเป็นการส่งเสริมความเข้าใจอันดี ระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารที่ไปปฏิบัติภารกิจในพื้นที่นั้นๆ กับราษฎรเจ้าของท้องที่อีกโสตหนึ่งด้วย ซึ่งในการดำเนินงานจัดสร้างโรงเรียน ทางฝ่ายทหารได้ติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และฝ่ายศึกษาธิการ เพื่อเลือกสถานที่ตั้งโรงเรียนที่เหมาะสมกับความจำเป็นที่สุด ซึ่งปรากฎว่าราษฎรในท้องที่ที่มีการสร้างโรงเรียน ได้พากันร่วมอุทิศแรงกายช่วยในการก่อสร้าง ตลอดจนอุทิศทุนทรัพย์สมทบเป็นทุนในการจัดซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ที่จะนำไปใช้ในการก่อสร้างโรงเรียน เพื่อเป็นการโดยเสด็จพระราชกุศลด้วย และเมื่อการก่อสร้างโรงเรียนแล้วเสร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดโรงเรียนเหล่านั้น พร้อมทั้งพระราชทานนามว่า โรงเรียนร่มเกล้า ซึ่งในปัจจุบันมีทั้งโรงเรียนระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา
อ้างอิง www.prdnorth.in.th/The_King/King_Multifarious_Duty.php
วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ไม้ประดับ
นำมาจาก http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A
ประวัติฟุตบอล
ในสมัยกรีกโบราณ ได้เล่นกีฬาประเภทหนึ่งคล้ายฟุตบอล เรียกว่า "เอพปิสไกย์รอย" (Episiskiyros)
ในสมัยบาบีโลเนียและสมัยอียิปต์โบราณ ฟุตบอลทำมาจากหนังสัตว์เย็บสลับไปมาแล้วห้มข้างนอกด้วยฟางหรือผม
ในสมัยประเทศจีน เมื่อก่อนคริสต์กาล3,000ปี ได้เล่นกีฬาชนิดหนึ่งที่คล้ายการเล่นฟุตบอลเรียกว่า"ทีซูชุ"(Tsu chu)
ในสมัยประเทศญี่ปุ่น ก่อนต้นศตวรรษที่14 ได้เล่นกีฬาชนิดหน฿งที่คล้ายการเล่นฟุตบอลเรียกว่า"เคมาริ"หรือ"เคอร์นาร์"(Kemari หรือ Kernart)
ในประเทศฝรั่งเศษสมัยกลาง ได้เล่นกีฬาคล้ายฟุตบอลเช่นกันเรียกว่า"คาลซิโอ"(Calcio)
ในประเทศเม็กซิโก ได้เล่นกีฬาคล้ายฟุตบอลเรียกว่า"โกมาคาริ"(Gomacari)
ในสมัยโรมัน เริ่มฟุตที่มีลมข้างใน โดยพวกเขาได้นำเอากระเพาะปัสสาวะของวัวที่เพิ่งตายใหม่ๆแล้วห้มด้วยขน เกมที่ใช้กระเพาะปัสสาวะของวัว(Ox's bladder)มาเล่นนี้ได้ถูกเรียกว่า"ฮาร์ปาสตัม"(Harpastum)บางตำราเรียกว่า"Harpaston" หรือ "Harpaston"ก็มีซึ่งชาวโรมันเอาแบบมาจากขาวกรีกโบราณ
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อ900ปีกว่ามาแล้วนั้น ดินแดนบางส่วนของประเทศอังกฤษตอนใต้ตกอยู่ในความปกครองของพวงทหารโรมัน ซึ่งได้ยกกองทหารมาตีหมู่เกาะอังกฤษตอนใต้ในต้นศตวรรษที่11 และได้ปกครองอังกฤษเรื่อยมาจนถึงพ.ศ.1589 ขณะที่อยู่ในประเทศอัวกฤษนั้น ทหารโรมันได้เล่นเกมส์ชนิดหนึ่งซึ่งแบ่งผู้เล่นออกเป็น2ทีมเท่ากัน
ครังแรกเกมนี้จะเล่นเฉพาะคนที่อยู่ในวัยฉกรรจ์เท่านั้น ซึ่งเป็นการเล่นที่รุนแรงป่าเถื่อนและโหดร้ายซึ่งเล่นกันทั่วเมืองหรือทั่งหมู่บ้าน เป้าหมายในการเล่นคือ พยายามพาลูกบอลลูกหนึ่งจากตำบลหนึ่งไปสู่อีกตำบลหนึ่งโดยถูกต้องตามกติกา ซึ่งกติกาได้ก่อความยุ่งยากมาก ทำให้ถูกตำหนิและถูกห้าม โดยกษัตริย์องค์ที่7 ในระหว่างพ.ศ.1743และพ.ศ.2193 แต่กระนั้นก็ยังคงมีการแข่งขันอยู่ แต่การเล่นฟุตบอลเหมือนกับกีฬาที่เล่นเป็นทีมบางชนิดที่ต้องใช้กติกาซึ่งเริ่มต้นไม่อิสระทั้งหมด แต่แพร่หลายมาตามโรงเรียนโดยทั่วไป
ที่โรงเรียน เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า ฟุตบอลเป็นการสันทนาการทางด้านร่างกาย หลังศตวรรษที่18และหลังจากนั้นก็กลายเป็นความทรงจำว่าเป็นกีฬาที่นิยมที่สุดของอังกฤษ แต่ละโรงเรียนได้พัฒนาการแข่งขันด้วการกำหนดกติกา ขนาดประตู จำนวนของทีม ฯลฯ
การวางเงื่องไขที่สำคัญ โดยอาศัยหลักธรรมชาติ ฟุตบอลได้พัฒนามาจากการเล่นด้วยมือและเท้า การเล่นเกมที่โรงเรียนในชนบทจะเล่นบนสนามหญ้าหรือทุ่งหญ้า ด้วยการเลี้ยงและส่ง ส่วนในโรงเรียนในเมืองจะเล่นเกมส์นี้บนพื้นดินที่มีขอบเขตที่กำหนดด้วยหินหรือธง
การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ในสมัยโบราณกาลของโรมันมีลักษณะแปลกอยู่อย่างคือ ข้างหนึ่งจะมีนักฟุตบอล27คน ซึ่งการแข่งขันที่รุนแรง พอแข่งเสร็จจะถูกหามส่งโรงพยาบาลกันเป็นแถว ดูเหมือนเกมรุนแรงประเภทนี้จะเป็นประวัติศาสตร์ของกีฬาประเภทหนึ่งในหมู่เกาะอังกฤษ และในหมู่เกาะไอร์แลนด์จะไม่จำกัดจำนวนผู้เล่นและขนาดของสนาม เล่นในที่แจ้ง ไม่มีการพัก ไม่มีประตู จะพยายามเข้าข้างหลังคู่ต่อสู้ บางครัง้จะมีการล่วงเกินกัน เพราะว่าเขาจะใช้หมัดชกคู่ต่อสู้ได้ ซึ่งจะก่อให้เกิดการพิพาทกัน
พ.ศ.1857สมัยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด(King Edward)ของอังกฤษ มีการประกาศจำคุกผ้เล่นฟุตบอลหลังจากกันมาแล้ว1000ปี ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่า อังกฤษชนะโรมันในการแข่งขันฟุตบอลถูกเรียกว่าเดอร์บีในอังกฤษ35ปีหลังจากนั้น
พ.ศ.2224ขุนนางชาวอังกฤษซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับฟุตบอลอีตาเลียน ได้แนะนำให้ทำตราของกีฬาประเภทนี้ และในขณะนั้นก็มีกติกาแล้วกีฬาประเภทนี้กำลังเป็นที่แพ่รหลายไปทั่วประเทศออานานิคมของอังกฤษ ฟุตบอลได้เริ่มแข่งขันภายใต้กฏของสมาคม มีดังนี้
ก่อน พ.ศ.2343 การเริ่มมีกฏมาตราฐานขึ้น แต่ยังหยาบคายอยู่
พ.ศ.2366 เกิดเกม 2 ชนิด คือ ฟุตบอล กับ รักบี้ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดอเมริกาฟุตบอล
พ.ศ.2398 สโมสรฟุตบอล เชฟฟิลด์(Sheffield)เกิดในอังกฤษ
พ.ศ.2403 มหาวิทยาลัยฮาร์เวอร์ด(Harward)ได้ตั้งทีมฟุตบอลขึ้น
พ.ศ.2406 ตั้งสมาคมฟุตบอลอังกฤษในลอนดอน แสดงให้เห็นว่า ฟุตบอลต่างจากรักบี้ และมีระเบียบกฎเกณฑ์ในการเล่น
พ.ศ.2412 การเล่นฟุตบอลครั้งแรกระหว่าง รัทเกอร์ กับ ปริ้นซีตัน(Rutgers and Princeton)
พ.ศ.2413 ฟุตบอลเริ่มเล่นในอเมริกาครั้งแรก
พ.ศ.2415 จำกัดขนาดของลูกฟุตบอลและมีที่ป้องกันคางในอังกฤษ
พ.ศ.2421 ใช้นกหวีดครั้งแรก
พ.ศ.2425 ตกลงกติกาสากลครั้งแรก
พ.ศ.2426 ใช้มือ 2 มือขว้างลูกบอลได้ในเขตประตู
พ.ศ.2427 ตั้งสมาคมฟุตบอลในอเมริกาครั้งแรก
พ.ศ.2428 มีฟุตบอลอาชีพในอังกฤษเป็นครั้งแรก
พ.ศ.2429 แข่งขันระหว่างชาติครั้งแรก ระหว่างสหรัฐฯกับแคนาดา
พ.ศ.2433 มีตาข่ายประตูครั้งแรกในอังกฤษ
พ.ศ.2434 มีผู้กำกับเส้น และมีการเตะลูกโทษเมื่อทำผิดกติกา
พ.ศ.2443 ตั้งสหพันธ์ฟุตบอลโลกขึ้นเป็นครั้งแรก ณ กรุงปารีส
พ.ศ.2448 ผู้รักษาประตูต้องอยู่ในเขตที่กำหนด และจะเล่นลูกได้เฉพาะในเขตโทษเท่านั้น
พ.ศ.2450 ตั้งสมาคมฟุตบอลขึ้นในต่างจังหวัดและมีการฝึกสอน(ครูผู้ฝึก)ขึ้นเป็นครั้งแรก
พ.ศ.2451 เริ่มแข่งขันโอลิมปิกครั้งแรกในกรุงลอนดอน และอังกฤษชนะเลิศ
พ.ศ.2455 ผู้รักษาประตูใช้มือได้ในเขตโทษ
พ.ศ.2456 ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามต้องถอยหลังห่างลูกบอล 6 หลา ในการเตะโทษ
พ.ศ.2463 ผู้เล่นต้องไม่ล้ำหน้าในการเล่นฟุตบอล(ห้ามล้ำหน้า)
พ.ศ.2467 มีการเตะมุม
พ.ศ.2468 มีกฎการล้ำหน้า และมีกติกาเล่นคล้ายๆปัจจุบัน
พ.ศ.2472-73 ผู้รักษาประตูต้องยืนอยู่ในเขตประตู
พ.ศ.2473 มีการแข่งขันชิงถ้วยฟุตบอลโลกครั้งแรกที่อุรุกวัย และอุรุกวัยเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแรก โดยการเอาชนะอาร์เจนตินา 4:2
พ.ศ.2474 ผู้รักษาประตูขว้างไปยังฝ่ายตรงข้ามได้และเดินได้ 4 ก้าว เดิม 2 ก้าว
พ.ศ.2480 การเตะลูกโทษ ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามต้องอยู่ห่างลูกบอล 10 หลา
พ.ศ.2484 ทหารเล่นฟุตบอลอย่างรุนแรงเพื่อสร้างความกล้าหาญ เหี้ยมหาญ สนามยังไม่ได้มาตรฐาน
พ.ศ.2493 อเมริการ่วมแข่งขันฟุตบอลโลกที่บราซิล อุรุกวัยชนะเลิศ
พ.ศ.2493 มีการสอนฟุตบอลในโรงเรียนราษฎรร์ของอังกฤษ และโรงเรียนต่างๆเล่นกันทั่วไปกติกาและสนามคล้ายปัจจุบัน
พ.ศ.2499 ทีมฟุตบอลชาติไทยเข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิกครั้งแรก ที่กรุงเมลเบอร์น ประเทศออสเตรเลีย(โอลิมปิกครั้งที่ 9)
พ.ศ.2511 ทีมฟุตบอลชาติไทยเข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิกครั้งที่ 2 ที่ประเทศเม็กซิโก(เป็นการแข่งขันฟุตบอลโอลิมปิกครั้งที่ 12) ฮังการีชนะบัลแกเรีย 4:1 ฮังการีจึงเป็นทีมชนะเลิศ
พ.ศ.2515 ทีมฟุตบอลอเมริกาเข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิกครั้งแรก ที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนีตะวันตก โปแลนด์เป็นทีมชนะเลิศ
นำมาจาก http://www.google.com/
วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552
เพื่อแม่น้อยกว่านี้ได้ยังไง
ความรักแม่ยิ้งกว่าความรักใด รักของคัยไม่เท่ารักของแม่
รักที่แม่หั้ยหนูคือรักแท้ แม่ดูแลหนูมาแต่เยาวัย
ยามหนูล้มแม่คอยพยุงหนู บแกหั้ยสู้ต่อไปอย่าหวั่นไหว
อยากบอกว่ารักแม่เหนือกว่าคัย ทั้งหัวใจมีแม่อยู่เต็มดวง
บทกลอนนี้ที่ผมแต่งขึ้น เพราะอยากหั้ยทุกคน ห่วงแม่ รักแม่ ดูแลแม่หั้ยมากนะครับ
แนะนำตนเอง Championship
ชื่อเล่น แม็ก >_<
เกิดวันที่ 21 มิถุนายน 2535
อายุ 17 ขวบแล้ว
ที่อยู่ 110 ม.14 ต.ท่าช้าง อ.สว่างวีระวงค์ จ.อุบลราชธานี
34190
คติประจำใจ ฝันให้ใกล ไปให้ถึง *-*